
การส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำการอนุญาโตตุลาการในไทย

แต่เดิม การที่ชาวต่างชาติจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการ และผู้รับมอบอำนาจจากคู่พิพาทเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอนุญาโตตุลาการในประเทศไทยนั้น ถือเป็นงานที่ต้องได้รับใบอนุญาตทำงานตามมาตรา 59 ของพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า ไม่เป็นงานห้ามตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวห้ามทำ พ.ศ. 2522 ด้วย ซึ่งเมื่อพิจารณารายละเอียดของบัญชีดังกล่าวแล้ว มีข้อยกเว้นเรื่องการเป็นอนุญาโตตุลาการ และงานว่าต่างแก้ต่างในชั้นอนุญาโตตุลาการเอาไว้(1)
ข่าว/บทความ ที่เกี่ยวข้อง
โดยมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน กล่าวคือ สำหรับงานอนุญาโตตุลาการนั้นไม่ถือเป็นงานต้องห้ามในประเทศไทย สามารถทำได้ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นคดีที่ตกลงให้ใช้กฎหมายไทยหรือไม่ หรือจะมีการมีการบังคับตามคำชี้ขาดในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับงานว่าต่างแก้ต่างใน ชั้นอนุญาโตตุลาการนั้น ชาวต่างชาติจะสามารถทำงานได้ เฉพาะในกรณีที่กฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ข้อพิพาทนั้นมิใช่กฎหมายไทย หรือเป็นกรณีที่ไม่ต้องขอบังคับคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้นในราชอาณาจักรไทยเท่านั้น
ต่อมา มีแนวความคิดและยุทธศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมที่ประสงค์จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่จะให้บริการด้านการระงับข้อพิพาททางเลือกโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการอนุญาโตตุลาการ จึงได้มีการตรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่บังคับใช้อยู่อย่างมากมาย ทั้งนี้ ด้วยความมุ่งหมายอย่างเดียวกันที่จะส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเลือกใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ในการดำเนิน กระบวนการอนุญาโตตุลาการมากขึ้น (2)
มาตรการทางกฎหมายในปัจจุบัน
เมื่อปี 2562 มีความเคลื่อนไหวในแวดวงกระบวนการอนุญาโตตุลาการเกิดขึ้นอยู่ 2 ประการ กล่าวคือ
ประการแรก
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงุทน หรือ BOI ได้ออกประกาศเพิ่มเติมเรื่องการอนุญาโตตุลาการให้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงสามารถยื่นขอ SMART Visa ได้โดยที่มาตรการนี้มีความสำคัญคือ ขอบเขตของผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงที่มีความกว้างขวางมากกว่าการเป็นอนุญาโตตุลาการปกติ แต่ให้หมายรวมถึงงานสนับสนุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยต้องเป็นวิชาชีพที่ใช้ทักษะเฉพาะทาง หรือขาดแคลนในประเทศไทย เช่น ที่ปรึกษากฎหมายในคดีอนุญาโตตุลาการ, งาน Transcriber, งานเลขานุการคณะอนุญาโตตุลาการ เป็นต้น
โดยมีสิทธิประโยชน์ที่มากกว่า Visa ทั่วไป ทั้งในเรื่องของการได้รับยกเว้นไม่ต้องได้รับใบอนุญาตทำงาน, ขยายระยะเวลาในการรายงานตัว, การเดินทางเข้าออกราชอาณาจักรได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง, สิทธิการใช้ข่องทางพิเศษในการเข้าออกราชอาณาจักร รวมทั้ง สิทธิในการพำนักในราชอาณาจักรของคู่สมรสและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้เชี่ยวชาญฯ และอาจรวมถึงสิทธิในการทำงานของบุคคลดังกล่าวภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดด้วย เป็นต้น
ด้วยสิทธิพิเศษที่มากกว่า Visa ในกรณีทั่วไปเช่นนี้ จึงค่อนข้างเหมาะกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงที่จะเข้ามาทำงานในระยะยาว หรือมาตั้งสำนักงานในการบริการด้านคดีอนุญาโตตุลาการอย่างถาวรในราชอาณาจักรไทย นอกจากนี้ ยังเหมาะสมกับกลุ่มบุคคลที่มีระยะเวลาในการเตรียมเอกสาร เพราะต้องใช้เวลาในการดำเนินการอย่างน้อย 30 วันทำการ นับแต่วันที่ยื่นคำร้องขอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และจะต้องเป็นกรณีที่ได้รับอนุญาตให้ได้รับ Smart Visa แล้วด้วยจึงจะสามารถทำงานในราชอาณาจักรไทยได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
ประการที่สอง
คือ การขอหนังสือรับรองการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 ซึ่งเพิ่มหมวดเรื่องเกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการและผู้รับมอบอำนาจชาวต่างชาติเป็นการเฉพาะ มาตรการนี้เป็นการออกใบอนุญาตทำงานตามมาตรา 62 ของพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ซึ่งถือเป็นการตัดอำนาจการใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาออกใบอนุญาตทำงานของกรมการจัดหางานลงโดยกำหนดว่า ต้องให้ใบอนุญาตทำงานเป็นไปตามเงื่อนไขที่ปรากฏในหนังสือรับรอง (ทั้งส่วนของระยะเวลา หรือเงื่อนไขการปฏิบัติหน้าที่) โดยที่ในระหว่างการดำเนินการขอรับใบอนุญาตทำงานนั้น คนต่างด้าวก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนก็ได้
และนอกจากนี้ ยังเป็นกรณีที่ไม่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขงานห้ามด้วย กล่าวคือ แม้ว่าจะเป็นงานผู้รับมอบอำนาจที่เข้ามาว่าต่างแก้ต่างในคดีอนุญาโตตุลาการในกรณีที่ใช้กฎหมายไทยเพื่อพิจารณาเนื้อหาของคดีนั้น ก็สามารถดำเนินการได้ภายใต้หนังสือรับรองตามมาตรการนี้ อนึ่ง ขอบเขตของงานนี้จะจำกัดอยู่เพียงผู้ที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการและผู้รับมอบอำนาจเท่านั้น จึงมีกรอบที่แคบกว่า Smart Visa และไม่มีสิทธิพิเศษเทียบเท่า แต่มีเงื่อนไขการพำนักและทำงานภายใต้ Visa และใบอนุญาตทำงานที่ชาวต่างด้าวได้รับ
นอกจากสองมาตรการที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว ในปีนี้เองยังมีความเคลื่อนไหวทางกฎหมายเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการอนุญาโตตุลาการในประเทศไทย เนื่องจากกรมการจัดงานได้ตราประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ(3) โดยประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา(4) และถือเป็นประกาศที่ออกตามมาตรา 7 พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และมีผลเป็นการลบล้างบัญชีงานห้ามท้ายพระราชกฤษฎีกา ที่ออกตามความในมาตรา 6 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2521 ไปโดยอัตโนมัติ(5)
แล้วประกาศฉบับนี้มีผลอย่างไร?
โดยหลักแล้ว การให้บริการด้านกฎหมายหรืออรรถคดีถือว่าอยู่ในบัญชีที่หนึ่งท้ายประกาศ ซึ่งห้ามคนต่างด้าวทำโดยเด็ดขาด ยกเว้น กรณีเป็นอนุญาโตตุลาการซึ่งคนต่างด้าวสามารถทำได้ในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น รวมทั้งการทำงานให้ความช่วยเหลือหรือทำการแทนในการดำเนินกระบวนการพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการเฉพาะกรณีที่กฎหมายซึ่งใช้บังคับไม่ใช่กฎหมายไทย ซึ่งการแก้ไขในส่วนนี้ก็นับว่ามีความชัดเจนมากขึ้น เพราะเดิมกำหนดเอาไว้เฉพาะงานว่าต่างแก้ต่างในชั้นอนุญาโตตุลาการซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ก่อให้เกิดความสับสนและไม่รู้ขอบเขตที่แน่นอน
นอกจากนี้ ยังตัดเรื่องกรณีที่ไม่ต้องขอบังคับตามคำชี้ขาดในประเทศไทยออกไปด้วย ทำให้ขอบเขตของงานเพิ่มมากขึ้นหากเทียบกับงานห้ามท้ายพระราชกฤษฎีกาที่เคยใช้กันมาแต่เดิม อย่างไรก็ดี รายละเอียดอื่นๆ ก็ยังคงเป็นไปตามเดิม กล่าวคือ มีระยะเวลาชัดเจนของใบอนุญาตทำงาน คือ สามารถออกให้ได้โดยมีระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี/ครั้ง และหากว่าได้รับใบอนุญาตทำงานในกรณีนี้แล้ว ก็สามารถทำงานอย่างอื่น ที่ไม่ใช่งานห้ามตามประกาศกระทรวงแรงงานฉบับใหม่ได้โดยอัตโนมัติ
ดังนั้น หากจะพิจารณาขอบเขตของการทำงานแล้ว ใบอนุญาตทำงานตามกรณีนี้ ก็จะมีขอบเขตงานที่กว้างขวางกว่าสองมาตรการแรกนั่นเอง อย่างไรก็ดี ระยะเวลาในการขอใบอนุญาตและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการขอใบอนุญาตทำงานตามกรณีก็จะยุ่งยากกว่าการขอออกใบอนุญาตทำงานตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 และมีข้อควรระวังคือ หากยังไม่ได้รับใบอนุญาตทำงานจากกรมการจัดหางาน ก็จะไม่สามารถทำงานในราชอาณาจักรได้มิเช่นนั้นก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับโทษทางอาญา หรืออาจขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้ามไม่ให้กลับเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรไทยได้อีก เป็นต้น
การดำเนินการที่เกี่ยวข้องของ สถาบันอนุญาโตตุลาการ ที เอช เอ ซี
เนื่องจากมาตรการที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องใหม่สำหรับทั้งเจ้าหน้าที่และบุคคลในระดับปฏิบัติงาน ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการเหล่านี้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเพื่อลดทอนอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ ในห้วงปีที่ผ่านมา สถาบันอนุญาโตตุลาการ ที เอช เอ ซี จึงได้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมการจัดหางานซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตทำงานให้แก่ชาวต่างชาติ ทำให้จำนวนเอกสารประกอบการยื่นขอใบอนุญาตทำงานตลอดจนระยะเวลาดำเนินการลดน้อยลงกว่าการขอใบอนุญาตทำงานกรณีปกติ (6)
นอกจากนี้ ยังได้ประสานงานกับกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศอันเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจลงตราให้แก่ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาในราชอาณาจักรไทย เพื่อหารือเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความล่าช้าที่เกิดขึ้นจากกระบวนการขอตรวจลงตรา (Visa) การนี้ สถาบันอนุญาโตตุลาการ ที เอช เอ ซี ได้รับความอนุเคราะห์จากทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และได้เวียนเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้บุคลากรระดับปฏิบัติงานทราบถึงแนวทางการดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย โดยความมุ่งหมายร่วมกันที่จะส่งเสริมและลดทอนอุปสรรคของการดำเนินกระบวนการอนุญาโตตุลาการในประเทศไทย ตลอดจนดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาดำเนินการอนุญาโตตุลาการในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
บทสรุป
มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำอนุญาโตตุลาการในประเทศไทย มีดังนี้
1. SMART Visa
ซึ่งหากพิจารณาในแง่ของขอบเขตผู้ที่มีสิทธิขอวีซ่าประเภทดังกล่าวแล้ว อาจกว้างกว่าการขอออกหนังสือรับรองประกอบการขอใบอนุญาตทำงาน โดยที่ครอบคลุมถึงผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงในกระบวนการอนุญาโตตุลาการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอนุญาโตตุลาการ ผู้รับมอบอำนาจ ที่ปรึกษา ตลอดจนงานสนับสนุนและช่วยเหลือต่างๆ ผู้ที่ได้รับวีซ่าประเภทนี้ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าวีซ่าปกติทั่วไป แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการยาวนานกว่ามาตรการอื่นๆ จึงอาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่ประสงค์จะเข้ามาโดยเร่งด่วน นอกจากนี้ มีข้อควรระวังเพิ่มเติม คือ หากยังไม่ได้รับ Smart Visa จะไม่สามารถทำงานใดๆที่
เกี่ยวข้องในกระบวนการอนุญาโตตุลาการในไทยได้
2. การขอหนังสือรับรองการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562
มีข้อดีตรงที่ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการน้อยกว่าใบอนุญาตทำงานปกติ และในขณะที่ยื่นขอใบอนุญาตทำงาน ก็สามารถใช้หนังสือรับรองที่ได้รับจากหน่วยงานหรือสถาบันที่ให้บริการด้านการอนุญาโตตุลาการไปพลางก่อนได้ เอกสารหลักฐานที่ใช้ก็น้อยกว่าใบอนุญาตทำงานปกติด้วย แต่ข้อเสียคือ ชาวต่างชาติต้องเข้ามาทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ได้เฉพาะเท่าที่ปรากฎตามหนังสือรับรองเท่านั้น
3. การขอใบอนุญาตทำงานในกรณีปกติ มีข้อดีตรงที่เมื่อชาวต่างชาติได้รับใบอนุญาตทำงานแล้วก็สามารถทำงานอื่นๆ
ที่ไม่ปรากฏในบัญชีงานห้ามได้โดยอัตโนมัติ ผนวกกับประกาศกระทรวงแรงงานฉบับปัจจุบันก็จะขยายขอบเขตงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอนุญาโตตุลาการออกไปอย่างกว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นงานสนับสนุนหรืองานช่วยเหลือต่างๆ อย่างไรก็ดี สิทธิประโยชน์เป็นไปอย่างวีซ่าปกติ หากเทียบกับมาตรการตามข้อ (1) และอาจใช้เอกสารตลอดจนระยะเวลาในการขอใบอนุญาตทำงานมากกว่ามาตรการตามข้อ (2)
จะเห็นได้ว่า มาตรการทางกฎหมายหลายประการในห้วงเวลาที่ผ่านมานี้ ล้วนแล้วแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ในการดำเนินกระบวนการอนุญาโตตุลาการมากยิ่งขึ้น แต่ละมาตรการก็ขึ้นกับความต้องการของแต่ละบุคคลว่าประสงค์จะพำนักหรือทำงานในราชอาณาจักรไทยในรูปแบบใด มีระยะเวลาที่จะต้องเข้ามาปฏิบัติหน้าที่นั้นเร่งด่วนมากน้อยเพียงใด มีระยะเวลาในการเตรียมเอกสารมากน้อยเพียงใด เพราะแต่ละมาตรการก็จะมีรายละเอียด รวมทั้งข้อดี ข้อควรระวังที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง
อย่างไรก็ดี มีข้อควรระวังอีกประการที่จะต้องตรวจสอบก่อนจะขอออกหนังสือหรือเอกสารการทำงาน ฉบับใหม่ คือ ยื่นขอโดยใช้ช่องทางไหน ก็ควรใช้ช่องทางนั้นไปโดยตลอด เช่น หากชาวต่างชาติมีใบอนุญาตทำงานในกรณีปกติอยู่แล้ว จะมาปฏิบัติหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการ หรือทำงานช่วยเหลือ หรือเป็นผู้แทนของคู่ความ (กรณีที่ไม่ใช้กฎหมายไทย) อย่างนี้ก็ดำเนินการไปได้ทันที ไม่ต้องขอใบอนุญาตทำงานตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ ซ้ำอีก ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความซับซ้อนของเอกสารนั่นเอง
บรรณานุกรม
(1) รายละเอียดปรากฏตามพระราชกฤษฎีกากำหนดงานในอาชีพและวิชาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2543, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 117 ตอนที่ 105 ก ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2543
(2) ยุทธศาสตร์กระทรวงยุติธรรม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579), สืบค้นจาก http://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2018/20180130-MinistryofJustice.pdf.
(3) รายละเอียดปรากฏตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ, ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 137 ตอนพิเศษ 92 ง ลงวันที่ 21 เมษายน 2543
(4) ประกาศนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ข้อ 1 ของประกาศฯ)
(5) มาตรา 134 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560
(6) รายละเอียดปรากฏตามหนังสือกรมการจัดหางาน ด่วนที่สุด ที่ รง 0303/60685 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2562 เรื่อง การกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตทำงานและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้แก่คนต่างด้าวที่จะปฏิบัติหน้าที่ในด้านอนุยาโตตุลาการ ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562