บริษัทน้ำมันพยายามมองหาแนวทางการประนอมข้อพิพาทเพื่อยุติความขัดแย้ง ระหว่างอิรัก-เคอร์ดิสถาน
Reuters สำนักข่าวชื่อดังจากประเทศอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมาว่า บริษัทน้ำมันที่ประกอบธุรกิจในดินแดนเคอร์ดิสถาน ได้มีความพยายามที่จะให้ทางการสหรัฐอเมริกาหาแนวทางในการยุติข้อพิพาทที่เข้มข้นขึ้นระหว่างรัฐบาลกลางของอิรัก และภูมิภาคเคอร์ดิสถานซึ่งมีสถานะของรัฐแบบกึ่งปกครองตนเอง โดยระบุถึงความจำเป็นเพื่อให้การขนส่งน้ำมันผ่านพื้นที่ดังกล่าวสะดวก ไม่มีปัญหาแทรกแซง และเพื่อป้องกันไม่ให้ตุรกีต้องเพิ่มการขนส่งน้ำมันจากอิหร่านและรัสเซียด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทน้ำมันยังอ้างอีกว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคเคอร์ดิสถาน (KRI) ขึ้นอยู่กับธุรกิจการนำเข้า – ส่งออก น้ำมันเป็นหลัก ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการล่มสลายหากสูญเสียรายได้จากน้ำมัน โดยมีรายงานก่อนหน้านี้จากสำนักข่าวท้องถิ่นหลายแห่งเปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐนี้เริ่มเป็นไปในทิศทางที่แย่ลง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จากเหตุการณ์ที่ศาลรัฐบาลกลางของอิรักถือว่ากฎหมายว่าด้วยน้ำมัน และก๊าซที่ควบคุมอุตสาหกรรมน้ำมันของดินแดนเคอร์ดิสถานนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ต่อมาภายหลังจากพิจารณาคดี รัฐบาลกลางของอิรักซึ่งคัดค้านการอนุญาตให้รัฐบาลระดับภูมิภาคของเคอร์ดิสถาน ส่งออกน้ำมันอย่างอิสระ พร้อมกับได้เพิ่มความพยายามในการควบคุมรายได้จากการส่งออกจากเออร์บิล เมืองหลวงของ เคอร์ดิสถาน อีกด้วย โดยก่อนการพิจารณาคดีบริษัทขนสั่งน้ำมันยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา อย่าง HKM Energy ได้เขียนหนังสือถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดด เมืองหลวงของอีรัก และกรุงอังการาเมืองหลวงของตุรกี เพื่อขอให้มีประนอมข้อพิพาทเพื่อยุติปัญหาด้านท่อส่งก๊าซอิรัก-ตุรกี (Iraq-Turkey Pipeline)
ทั้งนี้ ข้อพิพาทนั้นสืบเนื่องมาจากศาลแบกแดดอ้างว่าตุรกีละเมิดข้อตกลง ITP (Iraq-Turkey Pipeline) โดยอนุญาตส่งออกให้เคอร์ดิสถาน ซึ่งถือว่าผิดข้อตกลงทางการค้า แต่ทางกระทรวงพลังงานของตุรกีไม่มีท่าทีในการตอบสนองต่อการชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยการพิจารณาคดีครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่ปารีส ฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม และหอการค้าระหว่างประเทศจะออกคำชี้ขาดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จากคำกล่าวอ้างของกระทรวงการน้ำมันของอิรัก อีกทั้งนักวิเคราะห์ยังมองไปในทิศทางเดียวกันอีกว่าจะมีการชี้ขาดตามสิ่งที่รัฐบาลอีรักกล่าวอ้างอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้ ทำให้สถานะและแนวทางการระงับข้อพิพาทครั้งนี้ของตุรกียังดูไม่ชัดเจนว่าจะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ต่อไปอย่างไร โดยล่าสุดบริษัทน้ำมันอย่างน้อย 1 แห่งได้ว่าจ้างจากระดับอาวุโสกับรัฐบาลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้ง 4 ประเทศ (อีรัก ตุรกี สหรัฐอเมริกา และเคอร์ดิสถาน) ในการเข้าร่วมกระบวนการระงับข้อพิพาทดังกล่าว แต่บริษัทยักษ์ใหญ่รายอื่นเช่น KRI, Genel Energy และ Chevron ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในคดีอนุญาโตตุลาการ ในขณะที่ DNO และ Gulf Keystone ไม่ตอบสนองต่อคำร้องดังกล่าว
ในขณะเดียวกัน จดหมายจาก HKN Energy ที่ส่งถึงผู้แทนสหรัฐฯ ได้มีการเปิดเผยว่า นอกจะเสนอให้ทางตุรกีรับน้ำมันดิบจากอิหร่านและรัสเซียมากขึ้นแล้ว และการหยุดรับน้ำมันที่ส่งผ่าน ITP (Iraq-Turkey Pipeline) จะทำให้เศรษฐกิจของเคอร์ดิสถานต้องเผชิญกับวิกฤตขั้นสูงสุด
ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติของเคอร์ดิสถาน และกระทรวงน้ำมันในกรุงแบกแดดไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอความเห็นดังกล่าว ซึ่งคาดการว่าอีรักจะได้รับประโยชน์น้อยกว่าเดิมจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะพุ่งแตะอัตราสูงสุดในรอบ 14 ปี หลังจากที่รัสเซียผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่บุกยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์
รายงานระบุว่าโครงการ ITP (Iraq-Turkey Pipeline) มีความสามารถในการสูบน้ำมันดิบได้สูงถึง 900,000 บาร์เรลต่อวัน ประมาณ 1% ของความต้องการน้ำมันโลกรายวัน จาก State Organization for Marketing of Oil (SOMO) นักการตลาดน้ำมันของดินแดนเคอร์ดิสถาน ณ ตอนนี้ กำลังสูบในการสูบมี 500,000 บาร์เรลต่อวันจากทุ่งนาทางเหนือของอิรัก ซึ่งจะต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อกระตุ้นการผลิตต่อไปโดยไม่ต้องลงทุนใหม่
นักวิเคราะห์กล่าวว่าบริษัทต่างๆ จะถอนตัวออกจากภูมิภาคเคอร์ดิสถาน เว้นแต่สภาพแวดล้อมจะดีขึ้น ในขณะเดียวกัน บริษัทต่างชาติหลายแห่งเองก็สูญเสียความสนใจไปแล้ว ที่ผ่านมา บรรดาบริษัทเหล่านั้นหันมาลงทุนที่เคอร์ดิสถานครั้งแรกในยุคของอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน ของอิรัก เมื่อดินแดนดังกล่าวมีเสถียรภาพ และปลอดภัยกว่าประเทศอื่นๆ ในอิรัก
อย่างไรก็ตาม นายเน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยว่า แม้ข้อพิพาทระหว่าง อีรัก และเคอร์ดิสถาน จะเป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศทั้งสองฝ่าย แต่ทางสหรัฐฯ สามารถสนับสนุนให้มีการเจรจาเพื่อประนอม และยุติข้อพิพาทได้ โดยได้เสนอให้สำนักงานกฎหมายของสหรัฐฯ อย่าง Vinson & Elkins L.L.P. ซึ่งเป็นตัวแทนของกระทรวงน้ำมันของอิรักในกรุงแบกแดดมารายงานสรุปในวอชิงตันเกี่ยวกับข้อพิพาท ITP ในเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา
ผลการรายงานดังกล่าวมีแนวโน้มในทิศทางที่ดี และจะมีการนัดหมายเพื่อหาทางออกร่วมกันอีกครั้งในอีกไม่ช้า ตามการรายงานของสำหนักข่าวหลายแห่ง ซึ่ง เจมส์ ลอฟติสต์ ทนายความหุ้นส่วนของ Vinson & Elkins เปิดเผยว่า ทางการอีรักยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สหรัฐฯ เสนอตัวแถลงต่อผู้นำเคอร์ดิสถาน ในการร้องขอให้ปฏิยัติตามรัฐธรรมนูญของอีรัก สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมัน
ในขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นข้างต้นที่ เจมส์ อ้างถึง ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเชื่อว่าการแทรกแซงของสหรัฐฯ ไม่น่าจะเป็นไปได้ และอาจไม่ช่วยเป็นคนกลางในการยุติข้อพิพาทได้ในกรณีใดๆ รออาด อัลคาดีรี กรรมการผู้จัดการด้านพลังงาน สภาพภูมิอากาศ และความยั่งยืนของ Eurasia Group บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมือง กล่าวว่า สหรัฐฯ อยู่ในสถานะที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอิรักตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา แรงกดดันจากวอชิงตันหรือรัฐบาลอื่นๆ ไม่สามารถหนุนให้เกิดการแก้ปัญหาระหว่างอีรักกับเคอร์ดิสถานได้