อิตาเลียนไทย เตรียมยื่นอนุญาโตฯ หวั่นเสียเงินทุน 8 พันล้านฟรี
โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่เมียนมาในความดูแลของ อิตาเลียนไทย หรือ ITD เกิดสะดุด สาเหตุจาก DSEZ MC บอกยกเลิกสัญญาสัมปทาน พร้อมอ้างทาง ITD ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทั้งที่บริษัทได้ลงทุนไปแล้วราว 8 พันล้านบาท และยังไม่เคยมีการลงนามสัญญาเช่าที่ดินเลย “สมเจตน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมียนทวาย เร่งหาทางออก เตรียมใช้อนุญาโตฯ เพื่อระงับข้อพิพาท
ข่าว/บทความที่เกี่ยวข้อง
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2563 คณะกรรมการบริหารงานพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (DSEZ MC) ได้บอกเลิกสัญญาสัมปทานโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรกที่กลุ่มบริษัท ITD เป็นคู่สัญญาสัมปทาน 7 ฉบับ ส่งผลโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เริ่มพัฒนาตั้งแต่ปี 2551 ต้องชะงัก ระหว่างนี้ต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยฝ่ายไทยรอสัญญาณจากรัฐบาลเมียนมาที่จะหารือเรื่องดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลไทยก็รอจังหวะอยู่ โดยคาดว่า 1-2 สัปดาห์น่าจะเห็นความชัดเจน
ซึ่ง DSEZ MC อ้างว่าสาเหตุที่ทาง DSEZ MC บอกยกเลิกสัญญากับ ITD เพราะว่าทาง ITD ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เลย ทั้งที่แท้จริงแล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา DSEZ MC ยังไม่เคยส่งมอบที่ดินให้เลย ขณะที่บริษัทได้ลงทุนระบบสาธารณูปโภคไปแล้วเป็นเงินลงทุนราว 8 พันล้านบาท และยังไม่เคยมีการลงนามสัญญาเช่าที่ดินเลย และตั้งแต่รัฐบาลสมัยนางออง ซาน ซูจีเข้ามาก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย แม้ว่าสัญญาระบุว่าหากเกิดข้อขัดแย้งสามารถดำเนินการขั้นตอนยื่นเรื่องอนุญาโตตุลาการ แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะเรื่องนี้สามารถเจรจาประนีประนอมกันได้
ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมียนทวาย อินดัสเทรียล เอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ITD ทำหน้าที่พัฒนาโครงการทวาย ออกมาเปิดเผยว่า“บริษัท ฯ ได้ประชุมร่วมกับ DSEZ MC ผ่านระบบ VDO Conference เป็นครั้งแรกหลังจากได้รับหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาสัมปทาน โดยการประชุมครั้งนี้มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นการยกเลิกสัญญาสัมปทานโครงการทวายของ ITD จำนวน 7 ฉบับ และได้สอบถาม DSEZ MC ใน 3 ประเด็น ได้แก่
1. ประเด็นเงื่อนไขที่เดิมกำหนดไว้ในสัญญาว่าในการลงทุนในโครงการฯทวายระยะเริ่มต้น (Initial Phase) ในพื้นที่ 27 ตารางกิโลเมตร หากไม่ใช่ผู้ลงทุนรายเดิม ซึ่งในที่นี้คือ อิตาเลียนไทย ผู้ลงทุนใหม่จะต้องมีการจ่ายเงินค่าลงทุนตามที่บริษัทที่ผู้สอบบัญชี คือ บริษัท เอินส์ทแอนด์ยัง (EY) ได้ทำการประเมินทรัพย์สินและการลงทุน (Due diligence) ในโครงการไว้โดยมีมูลค่า 8,000 ล้านบาท โดยในส่วนนี้ DSEZ MC มีการกำหนดเงื่อนไขใหม่ว่า ให้นักลงทุนรายใหม่ไม่ต้องชำระเงินในส่วนนี้ได้ ซึ่งในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทาง ITD ไม่สามารถยอมรับได้เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการลงทุนในส่วนต่างๆที่เกี่ยวกับสาธารณูปโภคในโครงการนี้ไปแล้วเป็นจำนวนมาก
2. ประเด็นการหารือกันถึงเรื่องความล่าช้าของโครงการทวาย ซึ่งทาง DSEZ MC ระบุว่าโครงการในส่วนที่ให้สัมปทานกับไอทีดีมีความล่าช้า ซึ่งบริษัทฯ ได้ชี้แจงว่าความล่าช้านั้นมาจากการที่ ITD ในฐานะบริษัทผู้ได้รับสัมปทานไม่ได้รับการจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดิน ทั้งนี้เมื่อไม่มีเอกสารเรื่องส่งมอบที่ดินจึงกระทบกับการลงทุนในส่วนอื่น เพราะไม่สามารถดำเนินการในเรื่องต่างๆได้ทั้งการออกแบบโครงการ หรือการขอกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อลงทุนนั้นก็ยังไม่สามารถทำได้ด้วย ซึ่งความล่าช้าจากโครงการทวายในส่วนนี้ก็มาจาก DSEZ MC ที่ดำเนินการเรื่องการส่งมอบที่ดินล่าช้า และภาพรวมโครงการที่ล่าช้าในช่วงที่ผ่านมาจึงไม่อาจกล่าวได้ว่ามาจากบริษัทฯ
3. เป็นการหารือกันเรื่องเงื่อนไขของการชำระเงินค่าธรรมเนียม ซึ่ง ITD จะต้องจ่ายให้กับ DSEZ MC รวมประมาณ 17 ล้านดอลลาร์ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ จ่ายไปแล้วประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 300 ล้านบาท โดยในส่วนนี้ที่บริษัทฯ หยุดจ่ายไปก็เนื่องจากเห็นว่าการดำเนินการเรื่องการส่งมอบที่ดินมีความล่าช้าไปจากแผนมากจึงหยุดจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว โดยเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความสำคัญในการพัฒนาโครงการทวาย เพราะเป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการ
นายสมเจตน์ ยังกล่าวอีกว่า “ ในการประชุมครั้งนี้บริษัทฯ ได้สอบถามถึงสถานะของคณะกรรมการใน DSEZ MC ว่ายังมีอำนาจในทางกฎหมายหรือไม่ เพราะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเมียนมาเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 64 ที่ผ่านมาทำให้คนใน ครม.เมียนมามีการเปลี่ยนแปลงหลายตำแหน่ง รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีของเมียนมาที่จะดูแลโครงการทวายนี้ด้วย ซึ่งเมื่อถามถึงตรงนี้พบว่า DSEZ MC ทั้งหมดใช้เวลานานในการหารือกันด้วยภาษาเมียนมา ก่อนที่จะมีกรรมการคนหนึ่งตอบด้วยภาษาอังกฤษว่า กรรมการยังมีอำนาจอยู่ แต่การตอบนั้นก็พบว่าไม่มั่นใจมากนัก และยังบอกว่าเรื่องนี้ก็ต้องดูนโยบายรัฐบาลเมียนมาที่เข้ามาใหม่ด้วยว่าจะมีแนวนโยบายในการพัฒนาโครงการนี้อย่างไร”
นายสมเจตน์ กล่าวว่า “จากท่าทีของ DSEZ MC ล่าสุดนี้ก็เป็นโอกาสที่รัฐบาลไทยจะช่วยประสานต่อไปยังรัฐบาลเมียนมาในเรื่องนี้ เพราะความสำคัญในระดับนโยบายที่ประเทศไทยต้องการผลักดันให้ได้รับประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย และช่วยแก้ปัญหาเพราะเอกชนที่ออกไปลงทุนในโครงการที่เป็นยุทธศาสตร์แบบนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องดูแลให้ไม่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้บริษัทฯ จะได้ทำรายงานการหารือกับ DSEZ MC ในครั้งนี้ เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมถึง นาย สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อรับทราบโดยเร็ว เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย และทิศทางที่จะเดินหน้าโครงการทวายต่อไปในอนาคต”
“ทางออกของเรื่องนี้มีอยู่ 3 ทางคือ ไปที่อนุญาโตตุลาการ ไปที่ศาล หรือกลับมาที่สัญญา ยังไงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องทางแพ่ง หากมีทางออกในการหารือกันได้ก็กลับมาที่สัญญาที่มีอยู่ระหว่าง 2 ฝ่าย ซึ่งตอนนี้มองว่ารัฐบาลของเรามีความได้เปรียบในหลายด้านในการเจรจาแต่ต้องส่งสัญญาณให้ชัดไปยังรัฐบาลเมียนมาในการเดินหน้าโครงการนี้ต่อ” นายสมเจตน์ กล่าวเพิ่ม
ทั้งนี้ สุพัฒนพงษ์ ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ไม่ว่าสถานการณ์ในเมียนมามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางใด รัฐบาลก็ต้องหาช่องทางเจรจา เรื่องความร่วมมือในโครงการทวายต่อ เพราะถือเป็นโครงการนี้เป็นโครงการที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งจะเป็นการใช้ศักยภาพเชิงภูมิศาสตร์ในการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้”
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.thac.or.th
ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/921546 https://www.infoquest.co.th/2021/64831