
บุคคลล้มละลายคืออะไร? รู้กฎหมาย การฟ้องร้อง และการไกล่เกลี่ยคดีล้มละลาย

ในสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนเช่นปัจจุบัน หลายคนอาจประสบปัญหาทางการเงินจนมีโอกาสกลายเป็น “บุคคลล้มละลาย” โดยที่ไม่คาดคิด จากสถิติภาระหนี้สินครัวเรือนที่สูงกว่า 6 แสนบาทต่อครัวเรือนโดยเฉลี่ย จากผลสำรวจ สาเหตุหลักของหนี้ คือ รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ซึ่งกว่า 46.3% ของครัวเรือนจากแบบสอบถามมีรายได้ครัวเรือนน้อยกว่ารายจ่าย จนมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกฟ้องร้องล้มละลายจากสถาบันทางการเงินหรือผู้เป็นเจ้าหนี้
โดยบทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ บุคคลล้มละลายว่ามีความหมายอย่างไร เกิดจากสาเหตุใดบ้าง ผลกระทบของการเป็นบุคคลล้มละลาย รวมถึงแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างการไกล่เกลี่ย หรือประนีประนอม เพื่อให้ได้เข้าใจและหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว
บุคคลล้มละลาย คืออะไร?
บุคคลล้มละลาย คือ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มีสถานะ “หนี้สินล้นพ้นตัว” หรือมีหนี้สินเยอะและไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้ และศาลได้มีคำพิพากษาให้ล้มละลาย โดยการเป็นบุคคลล้มละลายจะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลายต่อศาล เพื่อให้ภาครัฐและพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาช่วยเหลือในการจัดการหนี้สินตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
ทั้งนี้ การล้มละลายไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อมีหนี้สินมาก แต่ต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายและการพิจารณาของศาลว่าลูกหนี้นั้นมีหนี้สินล้นพ้นตัวจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอนและใช้ระยะเวลาพอสมควร
หนี้สินล้นพ้นตัว
การมีหนี้สินล้นพ้นตัว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
- บุคคลทั่วไป – บุคคลธรรมดาที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว คือ ผู้ที่มีหนี้สินมากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอาจเกิดจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต หรือการค้ำประกันผู้อื่น
- นิติบุคคล – เช่น บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหนี้สินรวมกันเกินว่า 2 ล้านบาท ซึ่งอาจเกิดจากการตัดสินใจลงทุนผิดพลาด การบริหารกิจการที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย
ที่สำคัญ บุคคลหรือนิติบุคคลนั้นต้องไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้ เช่น มีหนี้เยอะและไม่มีสินทรัพย์ใดๆ ที่สามารถใช้ไถ่ถอนหนี้สิน หรือมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ในระยะเวลาอันสมควร ฉะนั้นบางบริษัทที่มีหนี้สินเยอะ แต่ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตและทำกำไรได้จึงไม่ถือว่าตกอยู่ในสภาพล้มละลาย
สาเหตุของการเป็นบุคคลล้มละลาย
การเป็นบุคคลล้มละลายสามารถเกิดได้จากปัจจัยหรือการตัดสินใจทางการเงินหลายสาเหตุ ได้แก่
1. การใช้จ่ายเกินตัว – การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินกว่ารายได้ที่มี ทำให้ต้องพึ่งพาสินเชื่อหรือบัตรเครดิต จนเกิดภาระหนี้สินสะสมจนไม่สามารถจ่ายคืนได้
2. การลงทุนผิดพลาด – การลงทุนโดยขาดความรู้หรือการวิเคราะห์ที่เพียงพอ ทำให้เกิดการขาดทุนจำนวนมาก
3. ปัญหาสุขภาพหรือเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน – การเจ็บป่วยหรือเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือโรคร้ายแรง และไม่มีประกันภัยรองรับค่าใช้จ่าย ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่และอาจสูญเสียรายได้ในช่วงเวลานั้นจนกลายเป็นหนี้สิน
4. การค้ำประกันผู้อื่น – การเซ็นชื่อค้ำประกันหนี้ให้ผู้อื่น แต่บุคคลดังกล่าวไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจทำให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบภาระหนี้แทน
5. ปัญหาธุรกิจ – ไม่ว่าจะเป็นการบริหารผิดพลาด การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย อาจส่งผลให้เจ้าของธุรกิจหรือบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัวได้
6. การหย่าร้างหรือการแบ่งทรัพย์สิน – การแยกทางกับคู่สมรสอาจนำไปสู่ภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการแบ่งทรัพย์สินตามกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขาดความมั่นคงทางการเงิน
7. การขาดการวางแผนทางการเงิน – การไม่มีเงินออมหรือขาดการวางแผนด้านการเงินที่ดี อาจทำให้ไม่มีเงินสำรองเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
รู้ขั้นตอนการฟ้องล้มละลาย
คดีล้มละลายถือเป็นคดีแพ่ง แต่มีลักษณะพิเศษต่างจากคดีแพ่งทั่วไป โดยการฟ้องร้องล้มละลายจะมุ่งเน้นการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหมด ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและไม่สามารถยอมความได้ ดังนั้น แม้จะเป็นคดีแพ่ง แต่ก็มีกระบวนการทางชั้นศาลและวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าคดีแพ่งทั่วไป ดังนี้
1. ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลาย
เจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลาง ศาลคดีล้มละลายภาค หรือศาลจังหวัดในเขตซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนา ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย โดยเจ้าหนี้ต้องวางเงินประกันค่าใช้จ่ายจำนวน 5,000 บาทในขณะยื่นคำฟ้อง และเมื่อยื่นฟ้องแล้วจะถอนคำฟ้องไม่ได้ การฟ้องร้องจะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าหนี้เชื่อว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และต้องการให้มีการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้อย่างเป็นธรรม
2. ศาลพิจารณาและพิทักษ์ทรัพย์
เมื่อศาลพิจารณาแล้วพบว่ามีมูลหลักฐานเพียงพอ ศาลจะสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่
- พิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว – เป็นคำสั่งในช่วงระหว่างพิจารณาคำฟ้อง เพื่อป้องกันการโยกย้ายทรัพย์สิน
- พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด – เกิดขึ้นเมื่อศาลวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
ในระหว่างการพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้จะไม่มีสิทธิ์ใช้ทรัพย์สินหรือกิจการของตนเอง ซึ่งจะถูกจัดการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่ลูกหนี้ทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้ต้องไปสาบานตัวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และยื่นคำชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน
3. ไต่สวนและประชุมเจ้าหนี้
ศาลจะไต่สวนลูกหนี้และจัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาการประนอมหนี้ โดยจะมีการประชุม 2 ครั้ง เพื่อหาข้อสรุปว่าควรประกาศให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ การประชุมนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ลูกหนี้และเจ้าหนี้จะได้เจรจาหาทางออกร่วมกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การประนีประนอมโดยไม่ต้องให้ลูกหนี้ล้มละลาย ในช่วงนี้ เจ้าหนี้ต้องยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 2 เดือนนับจากวันที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ หากไม่ดำเนินการก็จะไม่มีสิทธิ์ได้รับชำระหนี้
4. ศาลประกาศล้มละลาย
ศาลจะประกาศให้ลูกหนี้ล้มละลายเมื่อ มีกรณีดังนี้
- เจ้าหนี้ไม่ยอมประนีประนอมหนี้หลังจากประชุม 2 ครั้ง
- เจ้าหนี้ไม่เข้าร่วมการประชุม
- การประนอมหนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบ
หลังจากศาลมีคำพิพากษาให้ล้มละลายแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเข้ามาจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ โดยรวบรวม จำหน่าย และนำเงินมาชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามสัดส่วน
ผลกระทบของการเป็นบุคคลล้มละลาย
![[THAC] SEO FEB C03 2 1200x628](https://thac.or.th/wp-content/uploads/2025/03/THAC-SEO-FEB-C03_2_1200x628.jpg)
การเป็นบุคคลล้มละลายส่งผลกระทบต่อชีวิตในหลายด้าน ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะการทำธุรกรรมด้านการเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิทธิและเสรีภาพในการดำเนินชีวิตด้วย
1. มีข้อจำกัดด้านธุรกรรมการเงิน
- ไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆ ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย การโอนกรรมสิทธิ์ หรือการทำสัญญาต่างๆ
- ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น เปิดบัญชีธนาคาร โอนเงิน หรือถอนเงิน
- ไม่สามารถยื่นขอสินเชื่อหรือกู้เงินจากธนาคาร และธนาคารอาจปิดบัญชีที่มีอยู่
- รายได้ในอนาคตต้องนำส่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพื่อนำไปเฉลี่ยคืนแก่เจ้าหนี้
- ถูกจำกัดการใช้จ่าย โดยจะได้รับเพียงเงินเลี้ยงชีพที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดให้
2. ข้อจำกัดด้านการทำงาน
- ไม่สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง
- ไม่สามารถรับราชการ หรือต้องออกจากราชการหากเป็นข้าราชการอยู่
- อาจต้องออกจากงานในบริษัทเอกชนที่มีข้อกำหนดว่าพนักงานต้องไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
- มีข้อจำกัดในการประกอบอาชีพบางประเภท เช่น ทนายความ ผู้สอบบัญชี หรืออาชีพที่ต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานรัฐ
3. ข้อจำกัดด้านการดำเนินธุรกิจ
- ไม่สามารถดำรงตำแหน่งในบริษัท เช่น กรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้บริหาร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
- ไม่สามารถจดทะเบียนบริษัทหรือเป็นนิติบุคคล
- หากมีธุรกิจอยู่แล้ว จะไม่สามารถจัดการหรือควบคุมธุรกิจนั้นได้ ต้องใช้ชื่อคนอื่นเป็นตัวแทน
4. ข้อจำกัดด้านการเดินทาง
- สามารถเดินทางภายในประเทศได้ปกติ
- ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นลายลักษณ์อักษร และต้องมีหมายกำหนดเวลาเข้าออกประเทศที่ชัดเจน
5. ข้อจำกัดด้านการทำประกัน
- ไม่สามารถทำประกันได้ เนื่องจากเป็นนิติกรรมประเภทหนึ่ง
- หากมีกรมธรรม์อยู่แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิ์ไถ่ถอนหรือเวนคืนกรมธรรม์เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ แม้ว่าจะเป็นการซื้อและชำระเบี้ยประกันก่อนที่จะมีสถานะล้มละลาย
ทำอย่างไรให้พ้นจากสภาวะล้มละลาย
ศาลจะเป็นผู้กำหนดระยะเวลาภาวะล้มละลายของบุคคลหรือนิติบุคคลนั้นๆ โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้
- กรณีล้มละลายครั้งแรก – กำหนดระยะเวลา 3 ปีนับจากวันที่ศาลพิพากษาให้ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 81/1
- กรณีไม่ใช่การล้มละลายครั้งแรก – กำหนดระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่ศาลพิพากษาให้ล้มละลาย
- กรณีล้มละลายทุจริต – กำหนดระยะเวลา 10 ปีนับจากวันที่ศาลพิพากษาให้ล้มละลาย ซึ่งเป็นการลงโทษผู้ที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลหรือทุจริตในการจัดการทรัพย์สิน
เมื่อครบกำหนดระยะเวลา ลูกหนี้ต้องติดต่อกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อขอปลดจากการเป็นบุคคลล้มละลาย โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะพิจารณาพฤติกรรมของลูกหนี้ตลอดระยะเวลาที่เป็นบุคคลล้มละลาย เช่น การให้ความร่วมมือในการจัดการทรัพย์สิน การไม่ปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สิน และการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
หลังจากพ้นสภาพบุคคลล้มละลาย ตามมาตรา 81/1 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย บุคคลจะสามารถกลับไปทำธุรกรรมทางการเงินได้ตามปกติ และหลุดพ้นจากหนี้สินได้ ยกเว้นหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากร หรือหนี้สินที่เกิดจากการทุจริต อย่างไรก็ตาม แม้จะพ้นจากสภาพล้มละลายแล้ว ประวัติการเป็นบุคคลล้มละลายจะยังคงอยู่ในระบบ และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินในอนาคต
การชำระหนี้ทางเลือก เพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย
สำหรับผู้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวแต่ไม่อยากเป็นบุคคลล้มละลาย ก็มีทางเลือกอื่นๆ ที่สามารถทำได้ ดังนี้
1. การฟื้นฟูกิจการ (Rehabilitation)
กระบวนการทางศาลที่ช่วยให้ลูกหนี้กลับมาบริหารธุรกิจได้อีกครั้ง เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตแต่ประสบปัญหาทางการเงินชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- มีเจ้าหนี้คนเดียวหรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
- ลูกหนี้ต้องเป็นบริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด หรือนิติบุคคล
- มีเหตุอันสมควรที่ทำให้เกิดหนี้ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจ โรคระบาด หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ
- มีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการได้ เช่น เคยเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ หรือมีทรัพย์สินที่สามารถนำไปต่อยอดได้
- ยังไม่ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์
2. การประนอมหนี้
เป็นการทำข้อตกลงระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ สามารถทำได้ทั้งก่อนและหลังล้มละลาย โดยอาจตกลงชำระหนี้บางส่วนหรือโอนถ่ายสินทรัพย์หรือหุ้นบางส่วนให้เจ้าหนี้ การประนอมหนี้เป็นการเจรจาโดยมีบุคคลที่สามเข้ามาเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย
การประนอมหนี้สามารถทำได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และไม่มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนหนี้ อีกทั้งยังมีบุคคลที่สามทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ช่วยให้การเจรจามีความเป็นธรรม ซึ่งช่วยให้ลูกหนี้ได้เงื่อนไขการชำระหนี้ที่ผ่อนปรนกว่าเดิม เช่น การลดยอดหนี้ การขยายระยะเวลาชำระหนี้ หรือการลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหนี้ อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ทางการเงินไม่ดีขึ้น หรือไม่สามารถชำระหนี้ตามแผนที่ตกลงไว้ อาจถูกฟ้องล้มละลายในอนาคตได้อีก
3. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการเงิน
เป็นกระบวนการที่มีหน่วยงานกลาง เช่น กรมบังคับคดี สถาบันอนุญาโตตุลาการ หรือสถาบันการเงิน จัดให้มีการเจรจาระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งอาจคล้ายกับการไกล่เกลี่ยคดีอาญาในชั้นศาล แต่เป็นแนวทางที่มีต้นทุนต่ำกว่าการดำเนินคดีในศาล ใช้เวลาน้อยกว่ากระบวนการทางศาล มีความยืดหยุ่นในการเจรจาหาข้อตกลง และเป็นการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้
การทำความเข้าใจเรื่องบุคคลล้มละลายมีความสำคัญอย่างยิ่งในสภาวะสังคมปัจจุบันที่ปัญหาทางการเงินเริ่มมีมากขึ้น การตระหนักถึงกระบวนการทางกฎหมาย ผลกระทบ และวิธีการแก้ไขปัญหาเมื่อเป็นบุคคลล้มละลาย จะช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันและรับมือได้อย่างเหมาะสม สิ่งสำคัญคือการจัดระบบทางการเงินอย่างมีวินัย ไม่ก่อหนี้สินเกินตัว และดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยหากเกิดปัญหาก่อนที่จะถึงขั้นล้มละลาย
เกี่ยวกับ THAC
สถาบันอนุญาโตตุลาการ (Thailand Arbitration Center) หรือ THAC เป็นสถาบันฯ ที่ให้บริการด้านการอนุญาโตตุลาการ และการประนอมข้อพิพาทในระดับสากล ดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมระบบอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ และให้บริการด้านอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นอิสระและมีมาตรฐานสากล ด้วยประสบการณ์และความชำนาญทางวิชาชีพ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผู้มาใช้บริการจะได้รับบริการที่ถูกต้องรวดเร็ว อีกทั้ง THAC ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย สะดวก และมีอัตราค่าบริการที่ต่ำกว่า ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
สนใจติดต่อ THAC ได้ทาง
อีเมล: [email protected]