GISTDA เตรียมร่างกฎหมายอวกาศ หลังจรวดจีนตกใส่โลก
เป็นที่จับตามองของหลายๆประเทศ เมื่อชิ้นส่วนจรวด Long March 5B ของสาธารณรัฐประชาชนจีนจากปฏิบัติภารกิจส่งโมดูลอวกาศเทียนเหอไปยังสถานีอวกาศเทียนกงตกสู่โลกโดยไม่มีการควบคุม เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา
จากกรณีประเทศจีนได้ปล่อยจรวด Long March 5B ขึ้นจากฐานส่งซึ่งตั้งอยู่บนเกาะไหหลำในภารกิจส่งโมดูลเทียนเหอขนาด 16.6 เมตร ซึ่งเป็นโมดูลหลักของสถานีอวกาศเทียนกงขึ้นสู่วงโคจรรอบโลก หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจตามเป้าหมายแล้ว จรวดที่ใช้ส่งได้โคจรรอบโลกต่อไป โดยมีวงโคจรต่ำลงเรื่อย ๆ ตามอิทธิพลความโน้มถ่วง บรรยากาศโลก และการเปลี่ยนแปลงบนดวงอาทิตย์ซึ่งส่งผลต่อบรรยากาศโลก ซึ่งจรวดที่ใช้ส่งโมดูลนี้ไม่สามารถควบคุมได้
ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 สำนักงานอวกาศจีนออกแถลงการณ์ จรวดขนส่ง ลอง มาร์ช 5B (Long March) กลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกแล้ว เมื่อเวลาประมาณ 10.24 น. ของวันนี้ ( 9 พ.ค.) ตามเวลากรุงปักกิ่ง บริเวณลองติจูด 72.4 องศาตะวันออก และละติจูด 2.65 องศาเหนือ และชิ้นส่วนของจรวดตกในมหาสมทุรอินเดีย ทางตะวันตกของหมู่เกาะมัลดีฟส์แล้ว
จากกรณีที่เกิดขึ้น ทาง GISTDA ที่ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยชี้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นไปตามการคาดการณ์ โดย ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA ออกมาเปิดเผยว่า “แม้ชิ้นส่วนจากจรวดที่ตกมาสู่พื้นผิวโลกจะไม่ได้สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน แต่กฎหมายอวกาศหรือข้อตกลงทางด้านอวกาศก็มีการกล่าวถึงรายละเอียดของการชดใช้ความเสียหายที่เกิดจากดาวเทียมหรือสถานีอวกาศ โดยประเทศเจ้าของวัตถุชิ้นนั้น จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวที่เกิดขึ้น”
ข่าว/บทความที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้จากการหารือกับ ผศ.ดร.ชูเกียรติ น้อยฉิม หัวหน้าสาขากฏหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงผู้แทนไทยในคณะผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์และเทคนิค (Specialized Panel of Scientific and Technical Experts) ภายใต้กฎว่าด้วยการอนุญาโตตุลาการข้อพิพาทเกี่ยวกับกิจกรรมทางอวกาศของศาลประจำอนุญาโตตุลาการ ทำให้ทราบว่า
“กฎหมายอวกาศ กฎเกณฑ์ และแนวทางปฏิบัติตามหลักสากลมีอยู่ว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงในกรณีเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็คือสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านอวกาศ (Space Treaties) ของสหประชาชาติ จำนวน 3 ฉบับ โดยฉบับที่ 1 คือสนธิสัญญาว่าด้วยหลักเกณฑ์การดำเนินกิจการของรัฐในการสำรวจและการใช้อวกาศภายนอก รวมทั้งดวงจันทร์ และเคหะในท้องฟ้าอื่น ๆ ค.ศ. 1967 (“Outer Space Treaty”)
ฉบับที่ 2 ความตกลงว่าด้วยการช่วยชีวิตนักอวกาศ การส่งคืนนักอวกาศ และการคืนวัตถุที่ส่งออกไปในอวกาศภายนอก ค.ศ. 1968 (“Rescue Agreement”) และฉบับที่ 3 คืออนุสัญญาว่าด้วยความรับผิด ระหว่างประเทศ สำหรับความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอวกาศ ค.ศ.1972 (“Liability Convention”) โดยหน่วยงานที่ดูแลการดำเนินกิจการอวกาศของประชาคมโลก คือสำนักงานกิจการอวกาศส่วนนอกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office for Outer Space Affairs – UNOOSA) ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเป็นภาคีใน 2 ฉบับข้างต้น ดังนั้น เมื่อมีชิ้นส่วนจากอวกาศตกในประเทศไทย ประเทศไทยต้องส่งคืนชิ้นส่วนจากอวกาศนั้นให้แก่ประเทศผู้เป็นเจ้าของวัตถุอวกาศโดยทันทีหากได้รับการร้องขอ”
“สำหรับกรณีบุคคลทั่วไปพบวัตถุอวกาศตกในอาณาเขตประเทศไทย จะต้องแจ้งต่อพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในท้องที่ให้ทราบโดยเร็ว เพื่อแจ้งไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และกระทรวงการต่างประเทศเพื่อประสานต่อไปยังประเทศผู้เป็นเจ้าของวัตถุอวกาศ และองค์การระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ได้เป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยความรับผิด ระหว่างประเทศ สำหรับความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอวกาศ ค.ศ.1972 (“Liability Convention”)” ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวเพิ่ม
ในแง่ของกฎหมาย ประเทศไทยไม่สามารถปรับใช้สนธิสัญญานี้กับประเทศผู้เป็นเจ้าของวัตถุอวกาศเพื่อเรียกค่าเสียหาย หากชิ้นส่วนวัตถุอวกาศเหล่านั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน แม้ว่าประเทศไทยยังไม่เคยพบผู้ประสบเหตุที่ได้รับความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน อันเนื่องมาจากการตกสู่พื้นโลกของวัตถุอวกาศ ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในวันนี้ประเทศไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในอนาคตก็ไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะทุกวันนี้หลายๆประเทศต่างก็มีการแข่งขันในเรื่องของการผลิตวัตถุอวกาศ อาทิ ดาวเทียม หรือสถานีอวกาศขึ้นสู่วงโคจรในห้วงอวกาศมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงขึ้นได้ในภายภาคหน้า ดังนั้นเพื่อการเตรียมการรองรับในอนาคต คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ จึงได้มอบหมาย GISTDA จัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติกิจการอวกาศขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความเห็นจากหน่วยงานต่างๆ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี
พระราชบัญญัติ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมอวกาศ และมีหน่วยงานกลางบูรณาการกิจการอวกาศของประเทศ รวมถึงเตรียมความพร้อมของประเทศไทย ในการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความรับผิดระหว่างประเทศ สำหรับความเสียหายที่เกิดจากวัตถุอวกาศ ค.ศ. 1972 (“Liability Convention”) โดยจะส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการคุ้มครองกรณีที่มีชิ้นส่วนวัตถุอวกาศของประเทศอื่นตกลงสู่พื้นโลก ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชนที่อาศัยอยู่อาณาเขตของประเทศไทย และมีกลไกในการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในการเรียกค่าเสียหายจากประเทศผู้เป็นเจ้าของวัตถุอวกาศอีกด้วย สามารถติดตามความคืบหน้าและข่าวสารอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ www.thac.or.th
ที่มา
- ‘กฎหมายอวกาศ’ กับกรณีชิ้นส่วนจากจรวดตกสู่พื้นโลก (bangkokbiznews.com)
- http://thaiastro.nectec.or.th/news/3966/