
วิธีคิดดอกเบี้ยต่อเดือน รู้ไว้ก่อนผิดสัญญาสินเชื่อ

ในการซื้อสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่มีมูลค่าสูง หลายคนอาจพึ่งพาการกู้ยืมหรือ “สินเชื่อ” ในรูปแบบต่างๆ ทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อบ้าน รวมถึงสินเชื่ออเนกประสงค์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งแน่นอนว่าสินเชื่อทุกประเภทล้วนมี “ดอกเบี้ย” ที่ผู้กู้ยืมต้องชำระ แต่หากวางแผนได้ไม่ดีหรือไม่ทราบวิธีคิดดอกเบี้ยต่อเดือน ก็อาจเกิดเหตุเงินจมหรือประสบปัญหาทางการเงินได้
ความสำคัญของการคำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อ
เมื่อวางแผนขอสินเชื่อหรือการกู้ยืมเงิน สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ควรพิจารณา คือ ดอกเบี้ย เพราะหากทราบถึงอัตราการคิดดอกเบี้ยและวิธีคิดดอกเบี้ยต่อเดือน ก็จะสามารถรู้ได้ว่าต้องชำระดอกเบี้ยทั้งหมดเท่าไร พร้อมเปรียบเทียบสินเชื่อรูปแบบต่างๆ ว่า สินเชื่อประเภทไหนมีความคุ้มค่า เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และความสามารถในการชำระเงินคืน เพื่อไม่ให้ผิดสัญญาสินเชื่อที่อาจส่งผลให้เสียเครดิต รวมถึงเกิดการฟ้องร้องบังคับคดี ซึ่งแน่นอนว่าจะยิ่งทำให้เสียทั้งเวลาและทรัพย์สินเพิ่มเติม
ทำความรู้จักดอกเบี้ยเงินกู้ 2 ประเภท
ดอกเบี้ยเงินกู้ คือ ผลตอบแทนที่ผู้ปล่อยกู้ได้รับจากผู้ขอกู้ที่นอกเหนือไปจากเงินต้น ซึ่งธนาคารหรือสถาบันทางการเงินผู้เป็นเจ้าหนี้จะได้รับจากผู้กู้ โดยดอกเบี้ยเงินกู้นั้นแบ่งออกได้หลากหลายประเภท ทั้งยังมีอัตราการคำนวณดอกเบี้ยหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อ ซึ่งดอกเบี้ยเงินกู้ที่พบได้บ่อยมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ดังนี้
1. ดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate)
ดอกเบี้ยที่มีอัตราคงที่ตลอดระยะเวลาการผ่อนชำระของลูกหนี้ โดยจะคิดคำนวณดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่กู้ยืมจนถึงวันครบกำหนดสัญญา ซึ่งไม่ว่าจะผ่อนจ่ายนานแค่ไหน ดอกเบี้ยก็จะยังมีจำนวนเท่าเดิม ไม่ลดลงหรือเพิ่มขึ้น ทำให้วิธีคิดดอกเบี้ยต่อเดือนประเภทนี้ทำได้ง่าย ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการวางแผนการชำระหนี้ในระยะยาวแบบคงที่ จึงช่วยให้ผู้กู้ยืมมีสภาพคล่องทางการเงิน โดยส่วนใหญ่ ดอกเบี้ยคงมักพบได้ในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ จักรยานยนต์ บัตรเครดิต เป็นต้น
วิธีคิดดอกเบี้ยต่อเดือนสำหรับดอกเบี้ยคงที่
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ดอกเบี้ยคงที่นั้นเป็นดอกเบี้ยที่จะนำเอาเงินต้นทั้งหมดมาคำนวณนับตั้งแต่วันที่ทำสัญญา ดังนั้นวิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารแบบคงที่จึงมีสูตร ดังนี้
- เงินต้น × อัตราดอกเบี้ย × จำนวนปี = ดอกเบี้ยทั้งหมด
- ดอกเบี้ยทั้งหมด ÷ จำนวนงวด = ดอกเบี้ยผ่อนชำระต่อเดือน
- เงินต้นทั้งหมด ÷ จำนวนงวด = เงินงวดต่อเดือน
- ดอกเบี้ยต่อเดือน + เงินต้นต่อเดือน = เงินผ่อนชำระต่อเดือน
ยกตัวอย่างเช่น มีการขอสินเชื่อธนาคารเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท โดยมีอัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี ทั้งหมด 48 งวด หรือ 4 ปี โดยสามารถคำนวณได้ ดังนี้
- 500,000 × 15% × 4 = 300,000 บาท (ดอกเบี้ยทั้งหมด)
- 300,000 ÷ 48 = 6,250 บาท (ดอกเบี้ยผ่อนชำระต่อเดือน)
- 500,000 ÷ 48 = 10,416.67 บาท (เงินงวดผ่อนชำระต่อเดือน)
- 6,250 + 10,416.67 = 16,666.67 (เงินผ่อนชำระต่อเดือน)
สรุปได้ว่าในการกู้ยืมเงินจำนวน 500,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี ผู้กู้ต้องผ่อนชำระเงินทั้งสิ้น 16,666.67 ต่อเดือน เป็นจำนวนทั้งหมด 48 งวด ส่วนวิธีคิดดอกเบี้ยต่อเดือนเป็นต่อปีก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการนำ 6,250 × 12 = 74,460 บาท ต่อปี
2. ดอกเบี้ยทบต้นทบดอก (Effective Rate)
ดอกเบี้ยทบต้นทบดอก เป็นการคิดคำนวณดอกเบี้ยจากยอดเงินต้นที่คงเหลือในแต่ละงวด โดยเป็นการคำนวณแบบรายวัน ดังนั้น เมื่อผ่อนชำระเงินไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง ดอกเบี้ยในแต่ละงวดจะลดลง ยิ่งผู้กู้นำเงินมาโปะเงินต้น หรือผ่อนชำระเกินกว่าอัตราที่กำหนด ดอกเบี้ยก็ยิ่งลดน้อยลงไปตามนั้น โดยเป็นประเภทดอกเบี้ยที่พบได้ในสินเชื่อบ้าน คอนโด รวมไปถึงการรีไฟแนนซ์บ้านอีกด้วย พูดได้ว่าดอกเบี้ยทบต้นทบดอกจึงเหมาะกับ ผู้ที่ต้องการปิดสินเชื่อโดยเร็วที่สุด หรือมีความสามารถทางการเงินในการชำระหนี้เพิ่มเติมนอกเหนือจากยอดผ่อนชำระต่อเดือน
วิธีคิดดอกเบี้ยต่อเดือนของดอกเบี้ยทบต้นทบดอก
เนื่องจากดอกเบี้ยมีการลดหลั่นไปตามยอดต้นของแต่ละงวด การคำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกอาจมีความซับซ้อนเล็กน้อย โดยวิธีการคำนวนแบบง่ายๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง คือ
- (เงินต้นคงเหลือ × อัตราดอกเบี้ยต่อปี × จำนวนวันในงวด) ÷ จำนวนวันต่อปี
ยกตัวอย่างเช่น มีการขอสินเชื่อธนาคารเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท ซึ่งผ่อนชำระดอกเบี้ยไปแล้ว 100,000 บาท โดยมีอัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี ทั้งหมด 48 งวด เราจะสามารถคำนวณได้ ดังนี้
- (100,000 × 15% × 30) ÷ 365 = 6,164.39 (จำนวนดอกเบี้ยในงวดนั้น)
ทั้งนี้ ก่อนการทำสินเชื่อทุกครั้ง ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของสถาบันทางการเงินต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่คุ้มค่าที่สุด นอกจากนี้ควรสำรวจสถานะภาพทางการเงินของตนเองว่ามีความสามารถผ่อนชำระหนี้ได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญคือ การรู้วิธีคิดดอกเบี้ยต่อเดือน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อธุรกิจ หรือสินเชื่อส่วนบุคคลประเภทต่างๆ
การผิดนัดชำระหนี้ และดอกเบี้ยผิดนัด
![[THAC] SEO AUG C04 2 1200x628](https://thac.or.th/wp-content/uploads/2024/09/THAC-SEO-AUG-C04-2_1200x628-1024x628.jpg)
ในกรณีที่ผู้กู้หรือลูกหนี้ประสบปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามงวดรายเดือน หรือตามที่ระบุในสัญญา ในทางกฎหมายจะถือเป็นการ “ผิดนัด” ซึ่งลูกหนี้จำเป็นต้องรับผิดชอบด้วยการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือ เรียกว่า “ดอกเบี้ยผิดนัด” โดยลูกหนี้จะต้องเสียดอกเบี้ยโดยไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งต้องระบุในสัญญา แต่หากไม่ได้มีการระบุอัตราดอกเบี้ยอย่างชัดเจนในสัญญา กฎหมายจะบังคับให้ใช้อัตราร้อยละ 3 ต่อปี
อีกทั้ง การจำนวนดอกเบี้ยผิดนัดจะทำโดยคิดจากเงินต้นคงเหลือทั้งหมด หมายความว่ายิ่งมีจำนวนหนี้คงเหลือมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องรับภาระหนี้มากขึ้นเท่านั้น
การไม่ชำระหนี้ หรือผิดนัดชำระนั้นส่งผลเสียต่อผู้กู้ในหลายประการ ทั้งการเสียประวัติเครดิต ซึ่งส่งผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคต นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องจนเกิดกระบวนการทางศาล ซึ่งหากมีผิดนัดชำระหนี้ อันดับแรก เราควรแจ้งกับธนาคารหรือสถาบันทางการเงินโดยเร็วที่สุด เพื่อไกล่เกลี่ยและปรึกษาหาทางออก โดย THAC ยินดีให้บริการบริการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการด้วยประสบการณ์และความชำนาญ เพื่อช่วยให้คู่พิพาทสามารถหาทางออกที่ลงตัวได้ทั้งสองฝ่าย
เกี่ยวกับ THAC
สถาบันอนุญาโตตุลาการ (Thailand Arbitration Center) หรือ THAC เป็นสถาบันฯ ที่ให้บริการด้านการอนุญาโตตุลาการ และการประนอมข้อพิพาทในระดับสากล ดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมระบบอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ และให้บริการด้านอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นอิสระและมีมาตรฐานสากล ด้วยประสบการณ์และความชำนาญทางวิชาชีพ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผู้มาใช้บริการจะได้รับบริการที่ถูกต้องรวดเร็ว อีกทั้ง THAC ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ช่วยให้สะดวกสบายในการเดินทาง และมีอัตราค่าบริการที่ต่ำกว่า ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
สนใจติดต่อ THAC ได้ทาง
อีเมล: [email protected]