JSTC เตรียมจบข้อพิพาท 10 ปี กับ TOT เฮ! หุ้น JAS พุ่งกระฉูด 14%
ราคาหุ้น JAS พุ่งขึ้นฉุดไม่อยู่ ไปที่ 14% แถมล่าสุด JAS มีข่าวดีว่าเคลียร์ข้อพิพาทใกล้จบแล้ว ในคดีส่วนแบ่งรายได้สัญญาร่วมลงทุนโครงข่ายเคเบิลใต้นำกับ NT
เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ราคาหุ้นของบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ปรับตัวขึ้นแรงคิดเป็นเพิ่มขึ้น 14.19% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 5,257.52 ล้านบาท นอกจากนี้แหล่งข่าวยังได้เปิดเผยอีกว่า จากกรณีที่บริษัท จัสมิน ซับมารีน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (JSTC) ซึ่งบริษัทลูกของ JAS เข้าไปเจรจาประนีประนอมกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT (เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT) ซึ่งอยู่ในฐานะลูกหนี้การค้าของ JSTC ในข้อพิพาทเรื่องการชำระส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาร่วมลงทุนสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำ (ฝั่งตะวันออก) กับ TOT กว่า 10 ปี คาดว่าใกล้จะได้ข้อตกลงกันแล้ว
ข่าว/บทความที่เกี่ยวข้อง
ด้านนายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ราคาหุ้น JAS ที่ปรับตัวขึ้นแรงเมื่อวานนี้ ให้น้ำหนักกับกรณีข้อพิพาทระหว่าง JAS กับ TOT หรือ NT ในปัจจุบัน ซึ่งมีข้อพิพาทระหว่างกันค่อนข้างมาก โดยหนึ่งในนั้นคือข้อพิพาทเรื่องการชำระส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาร่วมลงทุนสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำ (ฝั่งตะวันออก) อาจจะใกล้ได้ข้อสรุป ซึ่งหาก JAS ชนะคดี จะมีผลบวกในเชิงจิตวิทยา ส่วนอีกกรณีที่จะมีผลต่อราคาหุ้น JAS ปรับตัวเพิ่มขึ้นคือ กรณีการเทกโอเวอร์ ซึ่งหากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) ที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ จะทำการเทกโอเวอร์ JAS จะส่งผลให้ราคาหุ้นของโอเปอเรเตอร์ดังกล่าวปรับตัวลดลง แต่ราคาหุ้นวานนี้ (14 มิ.ย. 2564) ของโอเปอเรเตอร์ ไม่ได้เป็นไปในทิศทางดังกล่าว ดังนั้นจึงให้น้ำหนักกับกรณีแรกมากกว่า โดยยังคงแนะนำ “ขาย” ให้ราคาเป้าหมาย 2.71 บาท”
จากที่ก่อนหน้านี้ ทาง JAS ได้ออกมาเปิดเผยว่า NT มีแนวทางที่จะดำเนินการเจรจาประนีประนอมเพื่อชำระหนี้กับคู่กรณีต่าง ๆ ที่มีคดีความค้างกันอยู่ ทั้งในส่วนที่เป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้เสร็จสิ้นทุกราย เนื่องจาก NT มีแผนที่จะนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปี 2564 นี้ด้วย ซึ่งก็คาดว่า ขั้นตอนการเจรจาประนีประนอมกับ NT จะบรรลุข้อตกลงกันได้ภายในไตรมาส 2/2564 และหาก JSTC เจรจาประนีประนอมข้อพิพาทดังกล่าวสำเร็จ JAS ก็มีโอกาสที่จะบันทึกเงินสดเข้ามาประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากยอดหนี้คงค้างประมาณ 2,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยค้างจ่าย 7.5% ต่อปี จนถึงสิ้นปี 2563 อีกประมาณ 2,027 ล้านบาท
JSTC ได้นำเรื่องข้อพิพาทกับ TOT เสนอต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2557 เพื่อทำการวินิจฉัย แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ทาง TOT ก็ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อเรียกร้องให้ JSTC คืนเงินส่วนแบ่งรายได้ที่ได้รับเกินตามสัญญาร่วมทุนเดียวกันพร้อมเรียกร้องค่าเสียโอกาสเป็นจำนวนเงิน 9,931 ล้านบาท
กระทั้งในเดือนพฤษภาคม 2562 ทาง JSTC ได้รับคำชี้ขาดจากสถาบันอนุญาโตตุลาการให้ TOT ชำระยอดคงค้างทั้งจำนวน 2,518 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 877 ล้านบาท (คำนวณในอัตรา 7.5% ต่อปี จนถึงวันที่เสนอข้อพิพาท) รวมเป็นเงินประมาณ 3,395 ล้านบาท และคิดดอกเบี้ยสำหรับยอดคงค้างดังกล่าวในอัตรา 7.5% ต่อปี ต่อไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น และให้ JSTC ชำระเงินค่าเสียหายแก่ TOT เป็นจำนวนเงิน 16 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
และถึงแม้ว่าปัจจุบัน TOT ได้ยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดสถาบันอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครองกลางแล้ว และ JSTC ได้ยื่นคำคัดค้านแก้คำร้องต่อศาลปกครองกลางแล้วเช่นกัน แต่ผลของข้อพิพาทดังกล่าวจึงถือว่ายังไม่สิ้นสุด JSTC จึงยังไม่ได้พิจารณาบันทึกรายการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากคำชี้ขาดดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผลของข้อพิพาทในคดีดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดในชั้นศาล แต่ในทางปฏิบัติทาง JSTC กับ TOT สามารถเจรจาประนีประนอมยอมความกันได้ หากบรรลุข้อตกลงการเจรจากันได้แล้วสามารถนำผลการเจรจาที่ยินยอมกันทั้ง 2 ฝ่ายเสนอต่อศาล เพื่อหาข้อสรุปและยุติคดีความกันได้ต่อไป ติดตามความคืบหน้าและข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.thac.or.th
ที่มา
- https://aws.iqnewsclip.com/downloadstory.aspx?A9B19DCB960025A8F69DA0B98E515A9CDFDBF6D5FA4B52B1B7F3B68E84742DF2EA9F94C89A0E00C7B095E391B11A18F48080A0DC997C14E5A8E5CAB59C2177AE84B9F1ED8C595D96DADCF9D4A14451B4E4F293DB897308D4EBC9D089D911498F