ไทยชนะคดี “โฮปเวลล์” ปิดฉากมหากาพย์โครงการคมนาคม ยาวนานกว่า 34 ปี
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ได้มีข่าวความคืบหน้าเรื่องคดี โฮปเวลล์ หลังจากที่มีเรื่องราวมากมายที่ดำเนินคดีมาร่วมกว่า34ปี โดยเนื้อหาเกี่ยวข้อง ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย จ่ายเงินจำนวน 24,000 ล้าน พร้อมดอกเบี้ย ให้กับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หลังมีการพิจารณาคดีใหม่ ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 โดยศาลปกครองกลางเห็นว่าบริษัท โฮปเวลล์ ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ พ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
สำหรับจุดเริ่มต้นกรณีการฟ้องร้อง โครงการโฮปเวลล์ มาจาก บริษัทโฮปเวลล์ เห็นว่าการที่ รฟท. เข้ามาใช้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้างเดิม ถือเป็นการยึดหรือเวนคืนระบบหรือพื้นที่สัมปทาน จึงเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ เรียกค่าเสียหายจากการยกเลิกสัญญาจาก กระทรวงคมนาคม และ รฟท. เป็นเงิน 59,000 ล้านบาท และหลังจากนั้นคณะอนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในเดือนพฤศจิกายน 2551 ว่า ทั้ง 2 หน่วยงาน บอกเลิกสัญญาไม่เป็นไปตามขั้นตอน จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยไม่มีสิทธิ และให้จ่ายเงินชดเชยแก่โฮปเวลล์ เป็นเงิน 11,889 ล้านบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย 7.5% หลังจากนั้นทั้งกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ก็ดำเนินการฟ้องต่อศาลปกครอง
ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น ไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ สืบเนื่องจากกระทรวงคมนาคม และรฟท. ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างว่า มีการรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด และมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป
ผลของคำสั่งดังกล่าวทำให้รัฐต้องคืนเงินค่าตอบแทนที่บริษัทโฮปเวลล์ ชำระและใช้เงินในการก่อสร้างโครงการพร้อมดอกเบี้ยราว 24,000 ล้านบาทให้แก่บริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด จากการที่รัฐบอกยกเลิกสัญญา
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา กระทรวงคมนาคม ยังได้เดินหน้ายื่นเรื่อง เพื่อขอให้พิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างถึงการนับระยะเวลา หรืออายุความในการยื่นข้อเรียกร้อง ของบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ต่ออนุญาโตตุลาการในคดีนี้ และเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ศาลศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ และสืบเนื่องมาจนการพิจารณาคดีครั้งล่าสุด
สามารถอ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sanook.com/news/9026282/