เข้าใจเกี่ยวกับ “คำชี้ขาด” จากพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
อย่างที่หลายๆ ท่านทราบกันดีว่า การอนุญาโตตุลาการนั้นเป็นหนึ่งในการระงับข้อพิพาททางเลือกที่มีกระบวนการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท ซึ่งจะเรียกว่า “คำชี้ขาด” โดยจะมีผลผูกพันทางกฎหมาย “คำชี้ขาด” นั้นจะแตกต่างจากการประนีประนอมหรือไกล่เกลี่ยที่จะมีเพียงการช่วยให้คำแนะนำและหาทางออกร่วมกัน โดยในบทความนี้ THAC จะพาผู้อ่านทุกท่านมาทำเข้าใจคำชี้ขาดว่ามีหน้าที่และความสำคัญอย่างไร ผ่านพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
คำชี้ขาด คืออะไร
คำชี้ขาดหรือ Arbitral Award คือคำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นในการอนุญาโตตุลาการ ซึ่งหลังจากที่คู่พิพาทได้คัดเลือกหรือแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการหรือคณะอนุญาโตตุลาการ (จำนวนเป็นเลขคี่เท่านั้น) เพื่อมาพิจารณาข้อพิพาทแล้ว อาจมีการระบุเลยว่า การชี้ขาดจะดำเนินโดยใช้หลักแห่งความสุจริตและเป็นธรรมหรือคำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติทางการค้า หรือกำหนดให้เป็นไปตามกฎหมายประเทศใด (ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ มาตรา 34) โดยขั้นตอนวินิจฉัยนั้น อนุญาโตตุลาการจำเป็นที่ต้องให้เหตุผลในคำชี้ขาดอย่างชัดเจน ไม่สามารถชี้ขาดการใดเกินกว่าเหตุได้ (ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ มาตรา 37) ผลจะเป็นไปตามเสียงข้างมาก ในกรณีที่ไม่สามารถหาเสียงข้างมากได้ ผู้เป็นประธานคณะอนุญาโตตุลาการจะเป็นผู้ให้คำชี้ขาด (ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ มาตรา 35) โดยคู่พิพาทจำเป็นที่จะต้องยอมรับคำวินิจฉัยและคำชี้ขาด ซึ่งมีผลผูกพันทางกฎหมาย อย่างไรก็ตามในกรณีที่คู่พิพาทฝ่ายใดต้องการให้ศาลบังคับ จำเป็นที่จะต้องดำเนินการขอยื่นภายใน 3 ปีหลังจากมีคำชี้ขาด โดยเตรียมเอกสารดังนี้
- ต้นฉบับคำชี้ขาด (หรือสำเนา)
- ต้นฉบับสัญญาอนุญาโตตุลาการ (หรือสำเนา)
- ในกรณีที่เป็นเอกสารภาษาต่างประเทศจำเป็นที่จะต้องมีคำแปลภาษาไทย ซึ่งผู้แปลจะต้องมีการรับรองโดยเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจรับรอง
ความแตกต่างระหว่างคำชี้ขาดและคำพิพากษา
คำชี้ขาดและคำพิพากษานั้น เป็นคำตัดสินวินิจฉัยเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น โดยคำพิพากษานั้น ผู้พิพากษาจะเป็นผู้ตัดสินออกมา โดยจะมีผลบังคับให้คู่พิพาทปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดทันที ในขณะที่คำชี้ขาดนั้นมาจากการอนุญาโตตุลาการ ซึ่งถึงแม้จะมีผลทางกฎหมาย แต่คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจไม่ยอมรับได้ หากพิจารณาว่าไม่เป็นธรรม ซึ่งหากต้องการให้มีการรองรับจำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้ศาลบังคับ (ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ มาตรา 42) กลายเป็นคำพิพากษานั่นเอง นอกจากนี้ศาลมีสิทธิ์ในการเพิกถอนคำชี้ขาดได้อีกด้วย หากพิจารณาแล้วเห็นว่าขัดต่อหลักศีลธรรมอันดีงาม
ถ้าไม่ยอมรับคำชี้ขาดควรทำอย่างไรดี?
สำหรับคู่พิพาทที่ไม่ยอมรับคำพิพากษานั้น สามารถที่จะยื่นอุทธรณ์เพื่อคัดค้านในศาลอุทธรณ์ได้ เช่นกันกับคำชี้ขาดเพราะสามารถที่จะขอแก้ไขคำชี้แจ้งหรือพิจารณาใหม่ได้อีกครั้ง โดยพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ มาตรา 39 ได้กล่าวไว้ว่า ภายใน 30 วัน คู่พิพาทฝ่ายหนึ่ง สามารถยื่นคำร้องให้อนุญาโตตุลาการแก้ไขข้อผิดพลาดให้ถูกต้องได้ รวมถึงสามารถให้อนุญาโตตุลาการอธิบายเพิ่มเติมได้ และจำเป็นที่จะต้องส่งสำเนาคำร้องให้คู่พิพาทอีกฝ่ายด้วย อย่างไรก็ตามหากต้องการคัดค้านคำชี้ขาดตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ มาตรา 40 ซึ่งคู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องรีบยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจในการคัดค้านภายใน 90 วันหลังได้รับคำชี้ขาดหรือหลังจากอนุญาโตตุลาการได้มีการแก้ไขหรือตีความคำชี้ขาด ซึ่งศาลจะเป็นผู้ตรวจสอบว่าคำชี้ขาดนี้สามารถพิสูจน์ได้หรือเป็นไปตามที่วินิจฉัยอาจจะสั่งเพิกถอนได้ อย่างไรก็ตามกรณีที่ศาลเห็นสมควร อาจทำการเลื่อนพิจารณาคดีออกไป เพื่อให้คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาอีกครั้งหรือดำเนินการให้เหตุแห่งการเพิกถอนหมดไป
มาถึงตรงนี้ หวังว่าผู้อ่านคงเข้าใจหลักการทำงานของคำชี้ขาดแล้วว่ามีอำนาจหน้าที่อย่างไร ซึ่งกระบวนอนุญาโตตุลาการสามารถที่จะยุติข้อพิพาทได้โดยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกัน มีขั้นตอนที่สบายและง่ายดายกว่าการระงับข้อพิพาทผ่านกระบวนการในชั้นศาล อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นที่เอื้อให้คู่พิพาทสามารถสรรหาอนุญาโตตุลาการได้และกำหนดขั้นตอนได้ การอนุญาโตตุลาการจึงนิยมใช้และได้รับการยอมรับอย่างมากในการยุติความขัดแย้งของภาคธุรกิจ เพราะมีการวินิจฉัยและให้คำชี้ขาดนั่นเอง สุดท้ายนี้ หากท่านใดมีความประสงค์ที่จะยุติความขัดแย้งด้วยวิธีการอนุญาโตตุลาการหรือทั้งการประนอมข้อพิพาทอย่างการประนอมข้อพิพาทหรือการไกล่เกลี่ย สถาบันอนุญาโตตุลาการ THAC พร้อมให้คำปรึกษากับทุกท่านที่สนใจ
เกี่ยวกับเรา
สถาบันอนุญาโตตุลาการ (Thailand Arbitration Center) หรือ THAC เป็นสถาบันฯ ที่ให้บริการด้านการอนุญาโตตุลาการ และการประนอมข้อพิพาทในระดับสากล ดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมระบบอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ และให้บริการด้านอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นอิสระและมีมาตรฐานสากล ด้วยประสบการณ์และความชำนาญทางวิชาชีพ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผู้มาใช้บริการจะได้รับบริการที่ถูกต้องรวดเร็ว อีกทั้ง THAC ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ช่วยให้สะดวกสบายในการเดินทาง และมีอัตราค่าบริการที่ต่ำกว่า ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย