
รู้จัก ‘ดอกผลธรรมดา’ กับ ‘ดอกผลนิตินัย’ สิทธิทางกฎหมายเป็นของใครบ้าง?

ในการสร้างรายได้หรือทรัพย์สิน มีทั้งรายได้จากการทำงานทั่วไป และรายได้จากการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนหรือในทางกฎหมายเรียกว่า ‘ดอกผลของทรัพย์’ ซึ่ง THAC จะมาแนะนำให้รู้จักกับสินทรัพย์ดังกล่าว พร้อมอธิบายลักษณะสำคัญของดอกผลธรรมดาและดอกผลนิตินัยว่า เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ดอกผลของทรัพย์ คืออะไร ?
ดอกผล คือ สิ่งที่งอกเงยเพิ่มขึ้นออกมาจากแม่ทรัพย์ หรือจะเรียกว่า ‘ผลผลิต’ ก็ได้ โดยดอกผลของทรัพย์นั้นต้องแยกออกจากทรัพย์สินหลัก เช่น นาย A ปลูกต้นมะม่วงไว้ 1 ต้น และมีการออกผลมะม่วงให้ได้เก็บเกี่ยว ซึ่งผลมะม่วงนี่เองที่เป็นดอกผลของทรัพย์ หรือนาย B ให้เพื่อนกู้ยืมเงิน แล้วมีการคิดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ดอกเบี้ยที่ได้ก็นับเป็นดอกผลอย่างหนึ่งเช่นกัน
ดอกผลของทรัพย์ 2 ประเภท
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา ๑๔๘ วรรคแรก ระบุว่า ‘ดอกผลของทรัพย์ ได้แก่ ดอกผลธรรมดาและดอกผลนิตินัย’ โดยดอกผลของทรัพย์ทั้งสองประเภทสามารถอธิบายได้ ดังนี้
1.ดอกผลธรรมดา (Normal Fruit)
ป.พ.พ มาตรา ๑๔๘ วรรคสอง ระบุว่า ‘ดอกผลธรรมดา หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของทรัพย์ซึ่งได้มาจากตัวทรัพย์ โดยการมีหรือใช้ทรัพย์นั้นตามปกตินิยม และสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรัพย์นั้น’ อธิบายง่ายๆ ว่า ดอกผลธรรมดา คือ ทรัพย์ที่เกิดโดยธรรมชาติและต้องขาดจากแม่ทรัพย์ เช่น ผลไม้ น้ำนม ขนสัตว์ ลูกสัตว์ เป็นต้น
ข้อสำคัญของดอกผลธรรมดา
- ต้องเกิดขึ้นจากแม่ทรัพย์โดยธรรมชาติเท่านั้น – เมื่อเป็นทรัพย์ที่คนทำให้เกิดขึ้นอย่างข้าวที่ปลูกในนา จะไม่ถือเป็นดอกผลของนา เพราะไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
- ถือเอาได้เมื่อขาดจากแม่ทรัพย์แล้ว – ทรัพย์ที่ยังไม่ขาดจากแม่ทรัพย์ เช่น ผลไม้ที่ยังติดอยู่กับต้น ลูกสัตว์ที่ยังอยู่ในท้องแม่ จะไม่ถือว่าเป็นดอกผลตามกฎหมาย
2.ดอกผลนิตินัย (Legal Fruit)
ป.พ.พ มาตรา ๑๔๘ วรรคสาม กล่าวว่า ‘ดอกผลนิตินัย หมายความว่า ทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มาเป็นครั้งคราวแก่เจ้าของทรัพย์จากผู้อื่นเพื่อการที่ได้ใช้ทรัพย์นั้น และสามารถคำนวณและถือเอาได้เป็นรายวันหรือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้’ หรือเรียกได้ว่า ดอกผลนิตินัย คือ ทรัพย์หรือประโยชน์ที่ได้เป็นการตอบแทน โดยส่วนมาก หลายคนจะคุ้นเคยกันในรูปแบบของดอกเบี้ย กำไร ค่าปันผล หรือค่าเช่า เป็นต้น
ข้อสำคัญของดอกผลนิตินัย
- ต้องเป็นทรัพย์หรือเป็นผลประโยชน์ – อาทิ การได้รับค่าเช่าห้อง หรือดอกเบี้ยจากการกู้ยืม
- ต้องเป็นทรัพย์ที่ตกได้แก่เจ้าของแม่ทรัพย์ – เจ้าของแม่ทรัพย์มีสิทธิทางกฎหมายในการถือครองดอกผลนิตินัย
- เป็นการตอบแทนจากผู้อื่นในการที่ผู้อื่นนั้นได้ใช้แม่ทรัพย์ – อย่างการเช่าหรือกู้ยืมดังที่กล่าวไปข้างต้น ทั้งนี้ กรรมสิทธิ์ในดอกผลนิตินัยยังคงตกเป็นของเจ้าของแม่ทรัพย์อยู่ มิใช่ของผู้เช่าแต่อย่างใด
- ต้องได้เป็นครั้งคราวจากการใช้แม่ทรัพย์ – เช่น การเก็บค่าเช่ารายวัน ค่าปันผลรายปี หรือดอกเบี้ยที่คิดคำนวณเป็นรายเดือน เป็นต้น

กรรมสิทธิ์ของดอกผลของทรัพย์ ตกเป็นของใคร?
จากที่กล่าวมา ดอกผลของทรัพย์ ทั้งดอกผลธรรมดาและดอกผลนิตินัย นั้นเป็นทรัพย์ที่งอกเงยหรือเพิ่มพูนขึ้นมาจากตัวแม่ทรัพย์ จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนว่า เจ้าของแม่ทรัพย์นั้นมีสิทธิเป็นเจ้าของดอกผลนั้นๆ อย่างไรก็ตาม มีบางกรณีที่เป็นข้อยกเว้น ซึ่งดองผลของทรัพย์สามารถตกอยู่ในกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นได้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ
ข้อยกเว้นที่ผู้อื่นมีสิทธิในการครอบครองดอกผล
1.มีข้อกฎหมายบัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษ เช่น
1.1 ดอกผลของสินส่วนตัวเป็นสินสมรส ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๗๔ เช่น นาย A กับนาง B ได้จดทะเบียนสมรสกัน แล้วมีดอกผลเกิดขึ้นจากทรัพย์สินส่วนตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดอกผลนั้นๆ จะถือเป็นสินสมรส ซึ่งสามีและภรรยามีสิทธิคนละครึ่งเท่ากัน
1.2 ผู้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต ได้ดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่ ตาม ป.พ.พ. ๔๑๕ คือ กรณีที่มีผู้ได้ทรัพย์สินโดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ของผู้อื่น และเกิดดอกผลจากทรัพย์สินนั้นๆ ซึ่งสิทธิในดอกผลจะตกเป็นของผู้ที่ได้ทรัพย์ จนกว่าจะรู้ว่าเป็นทรัพย์ของผู้อื่นและต้องคืนให้กับเจ้าของ
สมมุติว่า นาย A บังเอิญไปเจอวัวตั้งท้องหลงอยู่ แล้วเก็บมาเป็นของตนโดยไม่ทราบว่าเป็นของนาง C เมื่อวัวคลอดลูก ลูกวัว (ที่เป็นดอกผล) จะตกเป็นของนาย A อย่างไรก็ตาม เมื่อนาง C แจ้งนาย A ว่าวัวตัวนั้นเป็นของตน ก็จำเป็นต้องคืนทั้งวัวและลูกวัวให้กับนาง C ซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริง
ทั้งนี้ ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๗๖ ยังกำหนดไว้อีกด้วยว่า ถ้าจะต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่ผู้มีสิทธิเอาคืน ผู้นั้นไม่ต้องคืนดอกผลคราบเท่าที่ยังสุจริตอยู่ เมื่อใดรู้ว่าจะต้องคืนก็ถือว่าไม่สุจริตแล้ว หมายความว่า ถ้านาย A คืนวัวตั้งท้องให้กับนาง C แต่ปฏิเสธไม่คืนลูกวัว จะถือว่าไม่สุจริต เป็นการกระทำผิดกฎหมาย และอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีฐานลาภมิควรได้
2.มีข้อตกลงไว้เป็นอย่างอื่น
หากมีการทำข้อตกลงเฉพาะขึ้นมา โดยไม่ให้ดอกผลตกเป็นของเจ้าของแม่ทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นในสัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า สัญญาเช่าซื้อ หรืออื่นๆ ก็ให้สิทธิในดอกผลเป็นไปตามข้อตกลงนั้นๆ
3.บุคคลที่ไม่ได้เป็นเจ้าของแม่ทรัพย์นั้นมีสิทธิเอาดอกผลไปชำระหนี้ที่เจ้าของแม่ทรัพย์เป็นหนี้ตน
ข้อยกเว้นนั้นเปรียบได้กับการ ‘หักกลบลบหนี้’ สามารถทำได้ในกรณีที่เจ้าของทรัพย์เป็นหนี้ และนำดอกผลของทรัพย์มาใช้หนี้ต่างๆ เช่น นาง C ต้องการซื้ออสังหาฯ (ถือเป็นทรัพย์สินที่ซื้อขายกันได้) จากนาย B แต่มีเงินสดไม่พอ ก็สามารถนำดอกผลอย่างค่าเช่าห้องจากนาย A มาชำระแทนได้ ซึ่งนาย B จะได้สิทธิเป็นเจ้าของดอกผลนั้นทันที
สรุป ดอกผลของทรัพย์เป็นทรัพย์ที่งอกเงยจากแม่ทรัพย์ โดยมีทั้งดอกผลธรรมดาและดอกผลนิตินัย ซึ่งกรรมสิทธิ์ในดอกผลย่อมเป็นของเจ้าของทรัพย์ แต่อาจมีบางกรณีที่เป็นข้อยกเว้นให้ดอกผลตกเป็นของผู้อื่น แม้เรื่องดอกผลจะดูซับซ้อนไปบ้าง แต่ก็เป็นข้อกฎหมายที่ใกล้ตัวหลายคนมากกว่าที่คิด หากไม่ศึกษาให้ดี อาจส่งผลให้เกิดข้อพิพาทหรือถึงขั้นฟ้องร้องดำเนินคดี ท่านใดที่กังวลเรื่องข้อกฎหมายดอกผลในการทำสัญญาซื้อขายหรือการดำเนินธุรกิจ ทาง THAC ยินดีให้บริการคำแนะนำการร่างสัญญา รวมถึงบริการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการ ด้วยประสบการณ์และความชำนาญ เพื่อสร้างความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย
เกี่ยวกับ THAC
สถาบันอนุญาโตตุลาการ (Thailand Arbitration Center) หรือ THAC เป็นสถาบันฯ ที่ให้บริการด้านการอนุญาโตตุลาการ และการประนอมข้อพิพาทในระดับสากล ดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมระบบอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ และให้บริการด้านอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นอิสระและมีมาตรฐานสากล ด้วยประสบการณ์และความชำนาญทางวิชาชีพ จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผู้มาใช้บริการจะได้รับบริการที่ถูกต้องรวดเร็ว อีกทั้ง THAC ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ช่วยให้สะดวกสบายในการเดินทาง และมีอัตราค่าบริการที่ต่ำกว่า ช่วยให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
สนใจติดต่อ THAC ได้ทาง
อีเมล: [email protected]