
ปตท.สผ. เครียด! ผลิตก๊าซฯไม่ทัน เหตุเชฟรอนฯ ไม่ให้เข้าแท่นเอราวัณ หวั่นเกิดอุบัติเหตุ

เหมือนความเชื่อมั่นของ ปตท.สผ. จะไม่เป็นผล เพราะไม่สามารถผลิตก๊าซได้ตามแผน แถมเชฟรอนฯ ยังออกปากห้ามไม่ให้ ปตท.สผ. เข้าพื้นที่แท่นเอราวัณ เพราะหวั่นใจกลัวเกิดอุบัติเหตุ พร้อมแนะทำประกันภัย เป็นทางออก
เป็นไปตามคาด การผลิตก๊าซธรรมชาติ จากแท่นเอราวัณไปต่อไม่ไหว ไม่สามารถผลิตก๊าซฯได้ตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตหรือพีเอสซี ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เนื่องจากบริษัท ปตท.สผ.เอนเนอร์ยี่ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ ปตท.สผ.เอนเนอร์ยี่ฯ บริษัทลูกของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ยังไม่สามารถเข้าพื้นที่และเตรียมการดำเนินการต่างๆ ในช่วงเปลี่ยนผ่านได้ และกำลังจะสิ้นสุดสัมปทานของบริษัท เชฟรอนประเทศไทย สำรวจและผลิต จำกัด ในวันที่ 23 เมษายน 2565 นี้ด้วย
การลงนามในข้อตกลงการเข้าพื้นที่ฉบับที่ 2 ระหว่างปตท.สผ.และเชฟรอนฯ ยังไม่เกิดขึ้น ทั้งที่ตามแผนงานจะต้องลงนามในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2563 ทำให้ ปตท.สผ. ไม่สามารถเข้าพื้นที่ไปติดตั้งแท่นหลุมผลิต วางท่อ การเจาะหลุมผลิตบนแท่นที่ติดตั้งใหม่ รวมถึงการเชื่อมต่อระบบในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 ด้วย อีกทั้ง เชฟรอนฯ ก็ไม่ยอมให้ปตท.ผส.เข้าพื้นที่เพื่อติดตั้งแท่นหลุมผลิต เพราะเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินงาน และทรัพย์สิน เพราะยังมีอายุสัมปทานเหลืออีกราว 14 เดือน รวมถึงความผิดตามกฎหมาย โดยที่ไม่มีหน่วยงานใดมารับผิดชอบ
ซึ่งหมายความว่าระยะเวลาที่เหลือ 14 เดือน ทางปตท.สผ.จะไม่สามารถเข้าดำเนินการผลิตก๊าซฯตามสัญญาที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในวันที่ 24 เมษายน 2565 ได้ และทางบริษัทเอง ก็หวั่นใจว่า หากกระทรวงพลังงานไม่มีแผนรองรับไว้ อาจจะเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ในฐานะคนกลาง จะต้องหาทางออกและยุติเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้การผลิตก๊าซฯ เกิดการสะดุด ภาครัฐเองจะต้องออกหนังสือหรือทำประกันอุบัติเหตุ เพื่อเป็นผู้รับผิดชอบหากเกิดเหตุขึ้นมา หากรัฐดำเนินการได้ทางเชฟรอนฯก็ยินยอมให้เข้าพื้นที่แหล่งเอราวัณได้ ซึ่งการจ่ายเงินค่าประกันอุบัติเหตุภาครัฐก็ยังไม่จำเป็นต้องจ่ายเอง เพียงแต่เป็นคู่สัญญาและให้ทางปตท.สผ.เป็นผู้จ่ายแทน แต่ที่ผ่านมาการเจรจากับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในเรื่องนี้ยังนิ่งเฉย
โดยทางเชฟรอนฯ ออกมาเปิดเผยว่า “บริษัทยินดีที่จะให้ปตท.สผ.เข้าติดตั้งแท่นในแหล่งเอราวัณ หากภาครัฐหรือปตท.สผ. ยอมที่จะจ่ายค่าประกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ความล่าช้าที่เกิดขึ้น เพราะภาครัฐไม่มีระเบียบรองรับ กับความเสียหายที่เกิดขึ้น หากยอมให้ผู้รับสัมปทานรายใหม่เข้ามาในพื้นที่”
ข่าว/บทความที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตามการนำเรื่องการวางประกันค่ารื้อถอนเข้าสู่ขั้นตอนการอนุญาโตตุลาการ ยังไม่ได้ข้อยุติ และรัฐจะเก็บแท่นไว้ใช้งานต่อจำนวน 142 แท่น และจะต้องรื้อถอน จำนวน 49 แท่น (ปัจจุบันรื้อถอนไปแล้ว 7 แท่น) ซึ่งแต่เดิมเชฟรอนฯ จะต้องวางหลักประกันค่ารื้อถอนทั้งหมดราว 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทางเชฟรอนฯ ไม่ยอมวางทั้งหมด เพราะรัฐนำแท่นไปใช้ประโยชน์ต่อ ทำให้ตกลงกันไม่ได้ จนต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการเพื่อให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเจรจาคู่กับภาครัฐมาตลอด และภาครัฐก็ยอมที่จะให้วางหลักประกันค่ารื้อถอนตามปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองที่เหลืออยู่ให้เป็นทางออกร่วมกัน
ทั้งนี้มีเสียงคัดค้านว่า ถ้าเชฟรอนฯ ไม่วางหลักประกันค่ารื้อถอนทั้งหมด เกรงว่าทางเชฟรอนฯจะเบี้ยวไม่ทำการรื้อถอน การเจรจาต้องกลับมานับหนึ่งใหม่ที่ต้องให้วางประกันค่ารื้อถอนทั้งหมดใหม่ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ เพราะ เชฟรอนฯ เห็นว่า การวางหลักประกันค่ารื้อถอนทั้งหมด ไม่เป็นธรรม เนื่องจากรัฐนำแท่นส่วนใหญ่ไปใช้ประโยชน์ต่อ จึงไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องมารื้อถอน อีกทั้ง ในสัญญาสัมปทานที่ทำกันไว้กว่า 30 ปี การรื้อถอนแท่นมากำหนดรายละเอียดในกฎกระทรวงไว้ภายหลังเมื่อปี 2559 ทำให้เกิดความเสียเปรียบที่จะต้องแบกรับภาระทั้งหมด
ขณะที่ความคืบหน้าของกระบวนการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการนั้น ทั้ง 3 ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เชฟรอนฯ และคนกลาง อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน และข้อเท็จจริง เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณา ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะได้ข้อยุติ ติดตามความคืบหน้าและอ่านข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.thac.or.th
ที่มา https://shorturl.asia/eIAfr